รายงานเผยว่า พ่อของเสี่ยวเล่ยเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเล็ก เขากับแม่จึงต้องพึ่งพากันเองหลังจากนั้น และใช้ชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก เมื่อเรียนจบเขาก็เข้าไปทำงานในเมือง เพื่อไขว่คว้าความสำเร็จและสร้างความภาคภูมิใจแก่ตัวเอง แต่เขาก็รู้ดีว่าแม่คงเหงาที่ต้องใช้ชีวิตลำพัง ในช่วง 1 ปีจากนั้นเขาจึงพาแม่ไปอยู่ในเมืองด้วยกัน
แต่เพราะแม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตในเมือง หลังอยู่กับลูกชายได้ไม่กี่ปี แม่ก็ขอให้ลูกชายพากลับบ้านนอก ลูกชายยอมทำตามที่แม่ต้องการ แต่เขาก็สงสัยแม่ จึงมักจะส่งเงินให้แม่ใช้เป็นประจำทุกเดือน รวมถึงมักจะโทรศัพท์และเดินทางกลับไปเยี่ยมแม่บ่อย ๆ ในช่วงวันหยุดเทศกาล หรือเมื่อใดก็ตามที่ว่าง
จนไม่นานมานี้ งานของเขายุ่งขึ้นเรื่อย ๆ จึงแทบไม่ได้โทร. หาแม่เช่นเคย เขาได้แต่บอกตัวเองว่าหากรวยแล้วเมื่อไร ก็จะสามารถตอบแทนพระคุณแม่ได้อย่างเต็มที่ แต่ใครจะคิดว่าวันหนึ่งขณะที่เขาโทร. กลับไปหาแม่ตามปกติ กลับไม่มีใครรับสาย ทั้งที่ปกติแล้วแม่จะรีบรับสายลูกชายอยู่เสมอ
เสี่ยวเล่ยรู้สึกเป็นห่วงแม่มาก เขาโทร. กลับไปอีกกว่า 10 สาย แต่ก็ยังไม่มีคนรับ จนกระทั่งในที่สุดก็มีคนยอมรับโทรศัพท์ แต่ผู้ที่มาคุยกับเขากลายเป็นผู้ใหญ่บ้าน ที่ได้แจ้งข่าวร้ายให้เสี่ยวเล่ยทราบ ว่าเขาแม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 3 วันก่อน
ได้ยินแบบนั้นลูกชายก็ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เขายืนนิ่งอยู่นาน กระทั่งมีเพื่อนร่วมงานมาเรียก จึงดึงสติกลับมาสู่โลกแห่งความจริงที่โหดร้าย เขารีบหารถเดินทางกลับไปบ้านเกิดทันที และเมื่อกลับไปถึงบ้านก็ต้องใจสลาย เมื่อพบว่าบ้านที่เคยมีแม่อยู่รอต้อนรับ ดูแปลกไปและเต็มไปด้วยความหมองเศร้า ตอนนี้เมื่อแม่ไม่อยู่ ก็คล้ายกับเขาไม่มีบ้านรอให้กลับมา
ในคืนนั้นเสี่ยวเล่ยนอนอยู่บนเตียงของแม่ทั้งคืน แต่จากนั้นก็เริ่มได้กลิ่นเหม็นแปลก ๆ โชยมาจากใต้เตียง เดิมเขาคิดว่าบ้านคงมีกลิ่นเหม็นเพราะไม่ได้ทำความสะอาด แต่เมื่อกลิ่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงก้มลงดูใต้เตียง ภาพที่ได้เห็นนั้นทำให้เขานิ่งอึ้งและน้ำตาไหล เพราะใต้เตียงแม่นั้นเต็มไปด้วยทุเรียนจำนวนมาก
เสี่ยวเล่ยเผยว่าเขาชอบกินทุเรียนมาก และแม่ก็ซื้อทุเรียนไว้รอเขา แต่โชคร้ายที่เธอไม่อยู่รอเขากลับมาแล้ว ส่วนทุเรียนเหล่านี้ก็เน่าจนส่งกลิ่นเหม็น อีกทั้งตอนที่เขาทำความสะอาดใต้เตียงก็ได้พบว่ามีหีบอีกใบที่แม่ทิ้งไว้ ภายในนั้นมีข้าวของมากมายที่เก็บไว้ตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก นอกจากนี้ยังมีสมุดบัญชีเงินฝากจำนวน 580,000 หยวน (ราว 2.7 ล้านบาท)
เงินจำนวนนี้ช่างน่าตกใจ เสี่ยวเล่ยสงสัยมากว่าแม่ของเขาที่อยู่ในชนบทจะมีเงินมากขนาดนี้ได้อย่างไร จนเมื่อไปถามญาติก็ได้ทราบความจริงจุกใจ กลายเป็นว่าในช่วงหลายปีที่เขาส่งเงินกลับมา แม่แทบไม่ยอมแตะเงินนั้นเลย และยังคงออกไปหางานทำนอกบ้านเพื่อสร้างรายได้ให้มากขึ้น รวมถึงคลายความเหงาในวัยชรา
แต่แม้จะมีเงินเก็บมากมายแล้ว แม่ก็ยังใช้ชีวิตลำบากเช่นเดิม ไม่กล้าซื้อของใหม่ ๆ ให้ตัวเองใช้ แม้แต่ตู้เย็นก็ไม่ยอมซื้อมาใช้งาน สิ่งที่เธอยอมจ่ายก็คือทุเรียนที่ซื้อไว้รอลูกชายมากิน
เมื่อได้เห็นสิ่งที่แม่ทิ้งไว้ให้เหล่านี้ เสี่ยวเล่ยก็น้ำตาร่วง เขาหยุดโทษตัวเองไม่ได้จริง ๆ ว่าในขณะที่เขาพยายามไขว่คว้าหาเงินทองและชื่อเสียงในเมืองใหญ่ กลับไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่แม่ต้องการมากที่สุด ก็คือการมีเขาอยู่เคียงข้าง แต่แม้ตอนนี้เขาจะรู้ตัวว่าทำผิดไป ก็ไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้ว ดังนั้น เขาจึงอยากบอกทุกคนว่าแม้การเก็บเงินจะเป็นเรื่องสำคัญของหนุ่มสาว แต่หากมีโอกาสก็ควรหาเวลาไปอยู่กับคนที่เรารักด้วย เพราะเมื่อเผชิญความสูญเสียแล้วเท่านั้น เราจึงเข้าใจว่าต่อให้มีเงินทองมากมายแค่ไหน ก็ไม่อาจเทียบกับช่วงเวลาอบอุ่น ที่เราอยู่กับคนที่รักได้
ขอบคุณข้อมูลจาก Soha